วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

ด็อกเตอร์

รื่องของ ด๊อกเตอร์ หนุ่ม

จากเด็กบ้านนอกยากจน  ชีวิตพลิกผันได้ไปเรียนจนจบด๊อกเตอร์ถึงเมืองนอก   แต่สุดท้ายชีวิตกลับพลิกตลบอย่างไม่น่าเชื่อ
        เด็กหนุ่มคนหนึ่ง   ขาเกิดมาในครอบครัวชาวไร่ชาวสวนที่ฐานะค่อนข้างยากจน   แต่โชคดีที่เขาเป็นคนมีสติปัญญาดีและเรียนเก่งตั้งแต่เด็กๆ   เขาเป็นนักเรียนทุนเรียนดีของโรงเรียนมาโดยตลอด   พ่อกับแม่จึงสนับสนุนการเรียนของเขา   ยอมทุ่มเททำงานหนักเพราะอยากให้ลูกชายคนนี้ได้เรียนสูงๆ   เขาจึงไม่ต้องลาออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำสวนเหมือนกับพี่ๆของเขา   เขาเป็นคนที่มีความมุมานะ  และมีความทะเยอทะยาน   เขามีความฝันถึงอนาคตที่จะทำให้สำเร็จ  
            ในที่สุดเขาได้ใช้ความสามารถสอบชิงทุนได้ไปเรียนถึงต่างประเทศ  จนกระทั่งจบระดับปริญญาเอก   ได้คำนำหน้าชื่อดร. หรือเป็นด๊อกเตอร์   ตามที่เขาฝันไว้
            วันที่เขาเรียนจบและเดินทางกลับเมืองไทย    คนในครอบครัวของเขาดีใจกันมาก    ทุกคนตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1   พ่อแม่เช่าเหมารถจากบ้านที่ต่างจังหวัดไปรอรับเขาที่สนามบิน  ทันทีที่เขาลงมาจากเครื่องบิน และเห็นหน้าพ่อกับแม่ที่ยืนรอรับลูกชายด้วยความคิดถึง    เขารีบเดินตรงไปหาพ่อกับแม่และเขาพูดกับท่านว่า   “มาทำไมบอกแล้วว่าไม่ต้องมารับ "   แล้วเขาก็ทิ้งพ่อแม่และทุกคนไว้ที่ตรงนั้น เขารีบปลีกตัวกลับออกไปกับแฟนสาวที่มารอรับด้วยเช่นเดียวกัน  โดยไม่ได้แนะนำให้เธอรู้จักหรือยกมือไหว้พ่อกับแม่เลย  โดยไม่สนใจที่จะถามว่าพวกเขาเดินทางมากันอย่างไรและไม่ไต่ถามสุขทุกข์แม้แต่คำเดียว   
            ตั้งแต่ดร.หนุ่มคนนี้กลับมาเมืองไทย   เขาก็ไม่ค่อยได้ดูแลเอาใจใส่พ่อแม่เท่าที่ควร   และเขาพยายามปกปิดที่จะให้คนภายนอกรู้สถานะภาพครอบครัวของเขาว่ามีพ่อแม่เป็นชาวไร่ชาวสวน   แม้แต่แฟนสาวก็ไม่เคยพามาแนะนำให้พ่อแม่ได้รู้จัก  เขากลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราว   และเขามักพูดจายกตนข่มพี่น้องเสมอว่า  เป็น
เพราะตัวเขาที่ได้ไปเรียนจนจบมาจากเมืองนอก   จึงทำให้ครอบครัวมีหน้ามีตาขึ้นมา   ครอบครัวดีขึ้นมาได้ก็เพราะเขา
            ในช่วงบั้นปลายของชีวิต  ดร.คนนี้ ควรจะมีชีวิตรุ่งโรจน์รุ่งเรืองประสบความสำเร็จ   แต่เขากลายเป็นคนติดเหล้าอย่างหนัก   ชีวิตล้มเหลวใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไร้ญาติขาดเพื่อน   และเสียชีวิตนอนตายคาขวดเหล้าแบบเดียวดายคนเดียว ในห้องพักของตัวเอง   
            เรื่องของดร.คนนี้   ไม่ใช่นิทานแต่เป็นเรื่องจริงที่อยู่บนโลกใบนี้   เรื่องของเขาผ่านการบอกเล่ามาจากคุณป้าท่านหนึ่งที่รู้จักกับครอบครัวของเขา    
การศึกษาและความฉลาดทางสติปัญญา ไม่ได้เป็นเครื่องค้ำประกันว่าจะสร้างจิตสำนึกให้คนเรารู้จักและเข้าใจคำว่ากตัญญูได้   โดยเฉพาะระบบ การศึกษาที่เน้นการแข่งขันกันเป็นที่หนึ่งการเรียนต้องเป็นเลิศ แต่ถ้าหากหลงลืมใส่คุณธรรมลงไปด้วยแล้ว บางทีผลผลิตที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่า   เพราะ เราอาจได้แค่คนเก่งที่คุณธรรมล้มเหลว                 ความกตัญญูรู้คุณ   จึงเป็นคุณธรรมสำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องทำให้เด็กๆเห็นเป็นตัวอย่าง   และต้องปลูกฝังให้กับเด็กๆของเราให้เขาซึมซับ เข้าไปในสามัญสำนึกกันตั้งแต่เล็กๆเลยทีเดียว  อย่ารอให้เขาเข้าใจเองรู้ได้เอง  หรือไปสอนกันตอนโต   ถึงตอนนั้นอาจจะสายไปแล้ว  

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ยายใบ้ผู้งดงาม



         ยายใบ้ วัย60พูดไม่ได้ รูปร่างเล็กผอมแกรน แกเดินเข็นรถเข็นไปทั่วเมือง เพื่อเก็บของเก่า ตามถังขยะขายเลี้ยงชีพ บ่อยครั้งที่แกใช้เส้นทางผ่านหน้าบ้านฉัน ฉันและคนในละแวกนี้มักเมตตาที่จะเก็บเศษกระดาษ ขวดพลาสติกและข้าวของที่ไม่ใช้แล้วไว้ให้แกเสมอ
ความจริง แล้วมีคนที่ทำอาชีพเก็บของเก่าเหมือนยายใบ้หลายคน  ที่มักเดินผ่านไปในซอยบ้านฉัน และ
ฉันก็เคยเอาสิ่งของให้คนพวกนั้นไป แต่ก็ต้องเลิกให้ และเก็บไว้ให้ยายใบ้เพียงคนเดียว 

ในความรู้สึกของฉันยายใบ้มีความพิเศษแตกต่างจากคนอื่นๆ  คือ
เมื่อแกเดินผ่านบ้านใครยายใบ้จะไม่ทำท่าทีหยุดรอเพื่อขอสิ่งของ  แม้ปกติเราจะเคยให้แกอยู่เป็นประจำก็ตาม
แกจะเดินผ่านไปเงียบๆ  แกจะหยุดเมื่อเราเรียกเท่านั้น ผิดกับคนอื่นที่แสดงอาการโลภอยากได้ จนเราต้องเลิกให้ไปเอง

ครั้งหนึ่งฉันเห็นว่า เสื้อที่แกใส่อยู่เก่ามาก ฉันถามแกว่าอยากได้เสื้อกระเช้าหรือเสื้อผ้าแบบไหนบ้างจะ
ได้หามาให้ คำตอบคือ มีแล้ว แกไม่ต้องการ

ฉันเคยให้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กๆไปใบหนึ่ง ตอนที่ให้แกไปหม้อนั้นก็อายุการใช้งานนานพอสมควร 
หลังจากนั้นผ่านไปเป็นปี ฉันก็ถามแกว่าหม้อหุงข้าวเสียหรือยัง (กะว่าถ้าเสียแล้วจะได้หาให้ใหม่) 
คำตอบคิอ ยังใช้ได้อยู่ 

ฉันมักจะเห็นยายใบ้มีของกินมาให้หมาจรจัดตามทางที่แกเดินผ่าน บางตัวเป็นขี้เรื้อนแต่ยายใบ้ก็เอา
มือลูบหัวอย่างอ่อนโยนด้วยความเมตตา จึงไม่ต้องแปลกใจที่หมาๆในซอยมักจะกระดิกหางต้อนรับยายใบ้เป็นอย่างดี 

เมื่อปีที่แล้วช่วงหน้าฝน ยายใบ้หายไปนับ10วัน และวันหนึ่งแกก็โผล่มา ฉันถามแกว่าหายไปไหนมา 
แกพยายามอธิบายด้วยท่าทางบอกให้รู้ว่าน้ำท่วมบ้านสูงเกือบเอว ออกมาไม่ได้
ฉันจึงได้เอาเศษขยะรีไซเคิ้ลที่เก็บไว้หลายวันให้แก และในขณะที่แกกำลังหันหลังเดินจากไป
ฉันเอะใจนึกขึ้นได้ ว่าแกออกมาเก็บขยะไม่ได้หลายวันเพราะนำ้ท่วม แกต้องไม่มีรายได้ ฉันจึงเรียกแกให้หยุด ถามว่ามีเงินซื้อข้าวไหม แกทำมือยก2นิ้ว 
ฉันถามว่า20บาทเหรอ แกส่ายหัวไม่ใช่มีแค่สองบาท

ฉันอึ้ง  แม้ยายใบ้ไม่มีเงิน ยายใบ้ก็ไม่เคยขอ ทั้งๆที่แกรู้ว่าถ้าแกขอ ฉันต้องให้  แต่แกไม่ทำ ( เพราะปกติฉันจะให้เงินแกไปซื้อข้าวกินเสมอ) 

วันหนึ่งยายใบ้หอบเอาพริกชี้ฟ้าถุงใหญ่มาให้ พริกดูสดมาก  ฉันสงสัยเลยถามแกว่าไปเอามาจากไหน แกทำท่า
ทางบอกให้รู้ว่าปลูกเอง ทำมือพยายามอธิบายประมาณว่าต้นสูงเท่านี้ แกเก็บมาให้ฉันหมดเลย
แกคงอยากตอบแทนฉันบ้างแต่แกไม่มีอะไรจะให้  แกให้พริกที่ปลูกเองกับมือ ฉันรู้สึกซึ้งในน้ำใจของแกมาก 
       
ฉันขอยกเรื่องยายใบ้เป็นตัวอย่าง   แม้แกยากจน  ประกอบอาชีพ ที่ไม่มีเกียรติทางสังคม แต่แกมีความความซื่อสัตย์ เคารพตัวเอง พยายามทำมาหากินด้วยแรงกายแรงใจอย่างอดทน  ไม่โลภ   รู้จักตอบแทนบุญคุณคน  จิตใตโอบอ้มอารีย์ มีความเมตตาต่อสัตว์ 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดที่ทำให้ชาตินี้ยายใบ้เกิดมาลำบากยากจนและ ไร้ญาติ แต่แกก็มีคุณสมบัติเต็มเปี่ยมที่คนดีคนหนึ่งพึงมี เป็นความงดงามที่ฉันเห็นได้จริงๆ  ฉันถือว่าแกมีเกียรติ์ มีศักดิ์ศรีในตัวเอง  

หมายเหตุ  **ยายใบ้ไม่ได้เป็นใบ้แต่กำเนิด  ได้ยินจากคำบอกเล่าต่อกันมาว่าแกผ่าตัดคอ ผลของการผ่าตัดทำให้แกพูดไม่ได้  แกเขียนหนังสือได้ เพราะแกเคยเขียนให้ฉันดู ลายมือสวยด้วย)

 จากใจถึงยายใบ้


  ครูแอน 

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทความ

บทความเหล่านี้ ครูแอนเขียนลงไว้ในเฟสบุ้ค  จึงได้นำมาลงรวบรวมไว้ค่ะ
                               >>>>>>>>>>>>>>>>>>>

“มนุษย์เงินเดือน” ผู้ต่ำต้อยในสายตาของนักลงทุน

คำว่า “มนุษย์เงินเดือน” ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาเป็นคนแรก แต่ก็ได้ยินคำนี้บ่อยมาก เป็นที่รู้กันของคนทั่วไปว่า ความหมายของมันคือ คนที่ทำงานเป็นลูกจ้างและรับเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน ในระยะหลังเราคงมักได้ยินคำนี้ใช้กันมากขึ้น โดยเฉพาะในหนังสือจำพวกการเงินการลงทุน หรือคอร์สสัมนาต่างๆที่เกี่ยวกับการเงินการสร้างรายได้ และการพัฒนาตนเอง ที่มักจะให้คำแนะนำและบอกวิธีให้คนลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน

ที่ฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะได้เห็นข้อความหนึ่งในเฟสบุ๊ค จากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้มีรายได้จากการเป็นนักลงทุน ดูจากรูปภาพของเขาแล้วอายุไม่น่าจะเกิน27ปี เขาได้เขียนข้อความเชิงบ่นถึงคนที่เป็น “มนุษย์เงินเดือน” ประมาณว่า ทนทำงานอยู่ได้ รายได้ก็น้อย เหนื่อยก็เหนื่อย แถมต้องต้องตอกบัตรเข้างาน และมีคำพูดอีกหลายประโยคที่กล่าวดูถูกดูแคลน ว่าคนที่ทำงานกินเงินเดือนด้อยกว่าตัวเขา ซ้ำร้ายกว่านั้น มีเพื่อนๆของเขาเข้าไปกด like และเห็นดีเห็นงามกับความคิดเห็นของเขาด้วย

หากคุณค่าของคน วัดกันที่รายได้ที่เป็นจำนวนเงิน เจ้าหนุ่มก็คงภูมิใจที่ตัวเองมีรายได้มากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ฉันอยากให้เจ้าหนุ่มลองเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ไปเปรียบเทียบกับเศรษฐีระดับโลกดู เป็นไงล่ะ เจ้าเห็นไหมว่าคุณค่าของเจ้าแทบไม่มีเลยเมื่อต้องไปเทียบกับเศรษฐีเหล่านั้น แล้วทีนี้มาลองเปรียบเทียบอีกตัวอย่าง ทหารที่อยู่ชายแดน ที่กินเงินเดือเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาทำหน้าที่เสี่ยงชีวิตปกป้องพวกเราให้นอนหลับสบายอยู่ที่บ้าน คุณค่าความเสียสละของพวกเขาเงินเทียบได้ไหม ลองดูอีกสักตัวอย่างนะ พนักงานบริษัทหญิงคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เงินเดือนออก เธอจะนำเงินแบ่งเพื่อใช้เลี้ยงดูพ่อแม่ อีกส่วนใช้เลี้ยงดูลูกที่ยังเล็กอยู่ โดยสามีเสียชีวิตไปแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าผู้หญิงคนนี้ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตหลายชีวิต อยู่ดีๆเธอจะกล้าเสี่ยงกระโดดออกมาเป็นนักลงทุนอย่างเจ้าไหม เงินเดือนที่เธอได้อาจจะไม่มากเท่านักลงทุนอย่างเจ้า แต่ก็ใช้เลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวได้ และสิ่งที่ฉันเห็นคือ เธอมีความกตัญญู มีความรับผิดชอบ

หากให้ทุกคนลาออกจากงานไปเป็นนักลงทุนอย่างเจ้าหมด ประเทศนี้คงโกลาหลน่าดู เจ้าลองคิดง่ายๆนะ คิดแบบคนไม่ต้องฉลาดมาก สมมุติว่าบัตรเอทีเอ็ม ของเจ้าถูกเครื่องดูดไป เจ้าจะพูดกับตู้ กดเงิน ไหมว่า ขอคืนบัตรให้ข้าเถอะข้าไหว้ล่ะ หรือเจ้าจะไปยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ธนาคาร ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนให้ช่วยคืนบัตรให้

ความหลากหลายของอาชีพ ทำให้คนในสังคมพึ่งพาความสะดวกสบายจากบริการซึ่งกันและกัน คุณนายที่บ้านต้องพี่พา “คุณแจ๋ว” ให้ทำงานบ้านให้ เราต้องพึ่งพายามหน้าหมู่บ้านให้ช่วยดูแลความปลอดภัย เราต้องพึ่งพาบริการจากพนักงานโรงแรมที่เราไปพัก และยังมีอีกหลายๆสิ่ง ที่เราต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทั้งจากคนที่เป็น มนุษย์เงินเดือน และที่ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน เจ้าหนุ่มเจ้าควรจะหัด
ขอบคุณ “มนุษย์เงินเดือน” ที่เจ้าเคยใช้บริการจากพวกเขาด้วยนะ

เป็นเรื่องดีที่คนวัยหนุ่มสาว จะสามารถหาเงินได้เยอะๆ และสร้างเนื้อสร้างตัวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เงินไม่ใช่มาตรฐานที่จะวัดคนว่าใครต่ำหรือสูงกว่าเรา  หากเมื่อใดคนนั้นเอาเงินมาเป็นมาตาระฐานวัดคุณค่าของคน คงไม่ต่างอะไรกับที่เขาเอาจำนวนเงินของตัวเองไปเทียบกับเศรษฐีระดับโลกนั่นเอง


.............................................................................................